ทัวร์จอร์แดน Luxury JORDAN 8 Days
ทัวร์
ตะวันออกกลาง
ระยะเวลา
8 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
14-21 มี.ค. / 11-18 เม.ย. / 24-31 ต.ค. / 14-21 พ.ย. / 5-12 ธ.ค. 2567
Hilight

อัมมาน - เจอราช - อัจลุน - เพตรา - วาดิรัม –  มาอิน - มาดาบา - เม้าท์ เนโบ 
ทัวร์จอร์แดน...กลิ่นอายอารยธรรมโบราณเหนือกาลเวลาเป็นดั่งสมุดบันทึกประวัติศาสตร์ของโลกชิ้นเอกที่ทรงคุณค่า รื่นรมย์กับปราสาททรายมากมายตั้งอยู่เกลื่อน คิดตรองถึงกองคาราวานเดินทางไกลโพ้น ตามรอยของโมเสส ผู้แหวกทะเลแดงบนดินแดนแห่งศรัทธาและสันติ ลัดเลาะเมืองเก่าของชาวนาบาเทียน ณ มรดกโลกนครเพตรา...ศิลาทรายสีชมพู ดื่มด่ำความสุขรอบกองไฟคละเคล้าหมู่ดาวยามค่ำคืนท่ามกลางทะเลทรายสีชมพูแห่งวาดิรัม เก็บเกี่ยวประสบการณ์เชิดหน้าเงยคอลอยตัวในทะเลเดดซี ณ จุดที่ต่ำและเค็มที่สุดของโลก เที่ยวสนุกอย่างมีความหมาย คุ้มค่าทุกนาทีที่นี่ที่...จอร์แดน     

โกลบอล ฮอลิเดย์ ขอเชิญนักเดินทางทุกท่านร่วมท่องเที่ยวไปกับผู้มากประสบการณ์ตัวจริงบนดินแดนแห่งสันติภาพในตะวันออกกลางด้วยกัน
ทริปพิเศษ... พักมาร์เทียนโดมที่พักล้านดาว ล่องเรือแหวกทะเลแดง รื่นรมย์ชมกลุ่มปราสาท อาบอิ่มแช่น้ำพุร้อน พักผ่อนสบายกับโรงแรมห้าดาวทุกเมือง อิ่มอร่อยกับอาหาร สุขสำราญกับเส้นทางไม่เหมือนใคร

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ
    • 21.00 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 8 เคาน์เตอร์ Q โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
  • Day 2
    กรุงเทพฯ – เมืองโบราณเจอราช – ปราสาทอัจลุน – อัมมาน
    • 00.25 น. เหินฟ้าสู่ เมืองอัมมาน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN เที่ยวบินที่ RJ 183 (00.25-05.10) 
      (ใช้เวลาบิน 8 ชั่วโมง 45 นาที)  (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
      05.10 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ ควีน อาเลีย (Queen Alia International Airport) เมืองอัมมาน หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า 

      เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารในโรงแรม 4*
      (โปรดปรับนาฬิกาของท่านตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง เพื่อสะดวกในการดูเวลานัดหมาย) 
      ออกเดินทางสู่ เมืองเจอราช (Jerash) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของกรุงอัมมานห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง เมืองโบราณ เจอราช ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองพันเสา หรือ ปอมเปอีแห่งตะวันออก อดีตเคยเป็นเมืองที่สำคัญ 1 ใน 10 หัวเมืองเอกของอาณาจักรโรมัน สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นราว 100-200 ปีก่อนคริสตกาล นครแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำลายลงไปและถูกทรายฝังกลบจนสูญหายไปเป็นนับพันปี ดังนั้น สถานที่ที่ไม่ควรพลาดชมหากมาเยือนนครเจอราช คือ การเดินเข้าสู่ ถนนคาร์โด หรือ ถนนโคลอนเนด ถนนสายหลักที่เก่าแก่ของเมืองแห่งนี้ ซึ่งบนถนนยังคงถูกจารึกไว้ด้วยร่องรอยของรถม้า นอกจากนี้ยังมีน้ำพุใจกลางเมือง (Nymphaeum) ที่สร้างในปีค.ศ.191เพื่ออุทิศแด่เทพธิดาแห่งขุนเขาซึ่งเป็นที่นับถือของชาวเมืองแห่งนี้ นำชมซากปรักหักพังที่ยังคงมีกลิ่นอายของความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันที่มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด เช่น สนามแข่งม้าฮิปโปโดรม (Hippodrome) ซุ้มประตูกษัตริย์ฮาเดรียน (Hadrian's Arch) โรงละครโรมัน (Roman Theatre) ที่จุผู้ชมได้ถึง 3,000 คน เชิญท่านมาทดสอบกับความมหัศจรรย์ของการคิดค้นการวางจุดให้เกิดเสียงเอ็คโคได้ เพียงพูดเบาๆตรงจุดกึ่งกลางของโรงละครแล้วจะได้ยินทั่วโรงละคร ชมความมหัศจรรย์ของก้อนหิน 3 ก้อนที่เรียงกันไม่ล้มหลังจากถูกแผ่นดินไหว และสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวตลอดเวลาของก้อนหินบนนิ้วมือที่วิหารเทพีอาร์ทีมีส (Temple of Artemis) แล้วเดินชมโอวัลพลาซ่า (Oval Plaza) สถานที่พบปะของชาวเมืองเจอราชที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบโรมันล้อมรอบด้วยเสาสไตล์คอรินเทียนกว่า 160 ต้น ปัจจุบันบรรดาเสาเหล่านี้ได้กลายเป็นจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางต่อสู่ ปราสาทอัจลุน (Ajlun Castle) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอัจลุนห่างจากเมืองเจอราชไปเพียง 25 กิโลเมตร ปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่บนยอดเนินเขา ณ ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,250 เมตร ถูกสร้างขึ้นโดยนักรบมุสลิมจากราชวงศ์อัยยูบิดแห่งอียิปต์ (Ayyubid Dynasty) ในปี ค.ศ.1185 เพื่อใช้เป็นป้อมทหารสำหรับปกป้องดินแดนจากการรุกรานของข้าศึกในช่วงสงครามครูเสด ต่อมาในปี ค.ศ.1215 ปราสาทถูกต่อเติมขยายใหญ่ขึ้นจากเดิม สร้างหอคอยสังเกตการณ์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และประตูทางเข้าโดยผู้ปกครองจากราชวงศ์มัมลุค และในที่สุดถูกทำลายลงโดยพวกมองโกลในปีค.ศ.1260  หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพวกมัมลุคสามารถกลับมาเอาชนะพวกมองโกล จึงได้ทำการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่อีกครั้ง ความเสียหายจริงๆของปราสาทหลังนี้เกิดจากแผ่นดินไหวสองครั้งในปีค.ศ.1837 และค.ศ.1927 จึงทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา จากบริเวณที่ตั้งปราสาทนั้นท่านสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ทัศนียภาพของแผ่นดินได้กว้างไกลสุดตาทั้งของประเทศจอร์แดนและซีเรีย
      เดินทางเข้าสู่ กรุงอัมมาน (Amman) เมืองหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจอร์แดน ระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 10 นาที
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
        เข้าสู่โรงแรมที่พัก Amman Crowne Plaza Hotel 5*, Amman หรือเทียบเท่า
  • Day 3
    อัมมาน – Kerak Castle – Little Petra – เพตรา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ ปราสาทเครัค (Kerak Castle) ระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง ปราสาทยุคกลางขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองอัลเครัค (Al-Karak) ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1142 โดย ผู้ปกครองมีผู้ปกครองที่มีชื่อว่า Payen Le Boutieller ในอดีตเคยเป็นเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่ของนักรบครูเสด โดยสถานที่แห่งนี้สร้างเพื่อควบคุมเส้นทางไม่ว่าทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้ และใช้ในการต่อสู้ในสงครามครูเสดกับกองทัพมุสลิมอีกด้วย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1187 ได้ถูกทำลายโดยนักรบมุสลิมภายใต้การนำทัพของ ซาลาดิน (SALADIN)

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย ออกเดินทางสู่ Little Petra ระยะทางประมาณ 158 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง 30 นาที เป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทางเหนือของ Petra และเมือง Wadi Musa โดยมีอาคารที่แกะสลักอยู่ในผนังของหุบเขาหินทราย ประกอบด้วยพื้นที่โล่งกว้างสามแห่งเชื่อมต่อกันด้วยหุบเขาลึก 450  เมตร เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานโบราณคดีเพตรา อาจถูกสร้างขึ้นในช่วงที่อิทธิพลของนาบาเทียนรุ่งเรืองสูงสุด นักโบราณคดีเชื่อว่าอาคารทั้งหมดเป็นย่านชานเมืองของเพตรา เมืองหลวงของนาบาเทียน ในปีค.ศ. 2010 ห้องรับประทานอาหารในถ้ำแห่งหนึ่งถูกค้นพบว่ามีงานศิลปะที่ยังหลงเหลืออยู่ซึ่งเป็นภาพองุ่น เถาองุ่น และพุตติ ซึ่งอาจแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าไดโอนีซัสของกรีกและการบริโภคไวน์

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก The Old Village Resort 5*, Petra หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    เพตรา – ทะเลทรายวาดิรัม
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      นำท่านเที่ยวชม เมืองเพตรา (Petra) หรือนครศิลาทรายสีชมพู (ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ.1985 และ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของแห่งโลกใหม่ จากการตัดสินโดยการโหวตจากบุคคลนับล้านทั่วโลกในวันมหัศจรรย์เมื่อ 07/07/07 มหานครสีดอกกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งโมเสส (Wadi Musa) มีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยทั้งชาวอีโดไมท์จวบจนกระทั่งถึงยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูในการเข้ามาครอบครองดินแดนของชาวอาหรับเผ่าเร่ร่อนนาบาเทียน ในช่วงระหว่าง 100 ปีก่อนคริสตกาล - ปีค.ศ.100 และได้เข้ามาสร้างอาณาจักร บ้านเมือง ฯลฯ จนกระทั่งในปีค.ศ.106 นครแห่งนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมันที่นำโดย กษัตริย์ทราจัน นครเพตราต้องถึงคราวล่มสลาย เมื่อหมดยุคของอาณาจักรโรมันทำให้ชาวเมืองนั้นละทิ้งบ้านเมืองจากกันไปหมด ทิ้งให้เมืองแห่งนี้รกร้างไปพร้อมกับการพังทลายของเมืองหลังจากเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งจนสูญหายนับพันปีจนถึงในปีค.ศ.1812 นักสำรวจเส้นทางชาวสวิส นายโจฮันน์ ลุดวิก เบิร์กฮาดท์ ได้ค้นพบนครศิลาแห่งนี้และนำไปเขียนในหนังสือชื่อ “TRAVEL IN SYRIA” จนทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน                   
      จากนั้นเดินเท้าเข้าสู่เส้นทางมหัศจรรย์กว่า 1.5 กิโลเมตรที่เกิดจากการแยกตัวของเปลือกโลกและการซัดเซาะของน้ำเมื่อหลายล้านปีก่อน เดินชมความสวยงามของผาหินสีชมพูสูงชันทั้ง 2 ข้างคล้ายกับแคนยอนน้อยๆ และสิ่งก่อสร้าง รูปปั้น แกะสลักต่างๆ เช่น รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ  รูปกองคาราวานอูฐ  รูปชาวนาบาเทียน  ท่อส่งลำเลียงน้ำเข้าสู่เมือง ฯลฯ สุดปลายทางของช่องเขา ท่านจะพบกับความสวยงามของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ เอล-คาซเนท์ (El-Khazneh) หรือที่เรียกว่า Treasury สันนิษฐานว่าจะสร้างในราวศตวรรษที่ 1-2 โดยผู้ปกครองเมืองในเวลานั้น เป็นวิหารที่แกะสลักโดยเจาะเข้าไปในภูเขาสีชมพูทั้งลูก มีความสูง 40 เมตร และกว้าง 28 เมตร วิหารแห่งนี้ได้ถูกออกแบบโดยได้รับอิทธิพลศิลปะของหลายชาติเข้าด้วยกัน เช่น อิยิปต์ กรีก นาบาเทียน ฯลฯ ภายในประกอบด้วย 3 ห้อง คือ ห้องโถงใหญ่ตรงกลาง และห้องเล็กทางด้านซ้ายและขวาเดิมทีถูกเชื่อว่าเป็นที่เก็บขุมทรัพย์สมบัติของฟาโรห์อียิปต์ แต่ในเวลาต่อมาภายหลังได้มีการขุดพบทางเข้าหลุมฝังศพที่หน้าวิหารแห่งนี้ ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้ลงความเห็นตรงกันว่า น่าจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับผู้ปกครองเมือง ใช้เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นสุสานฝังศพของผู้ปกครองเมืองและเครือญาติ  เดินชมสุสานต่างๆ ของชาวนาบาเทียนและสุสานกษัตริย์ ฯลฯ ชมโรงละครโรมัน (Roman Theatre) ที่แกะสลักจากภูเขาโดยมีแนวราบที่นั่งเท่ากันและมีความสมดุลได้อย่างน่าทึ่ง สันนิษฐานว่าเดิมทีสร้างโดยชาวนาบาเทียน ต่อมาในสมัยที่โรมันเข้ามาปกครองได้ต่อเติมและสร้างเพิ่มเติมมีที่นั่ง 32 แถว จุผู้ชมได้ประมาณ 3,000 คน ภายในเมืองเพตรา  

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ภายในเพตรา The Basin          
      บ่าย อิสระในการเดินชมและถ่ายรูปภายในเมืองเพตรา เดินชมภูผา หรือขึ้นชม Monastery อารามที่งดงามตามแบบสถาปัตยกรรมนาบาเทียน โดยท่านสามารถเดินขึ้นไปถึงอารามได้เป็นบันไดธรรมชาติเกือบ 800 ขั้น (ใช้เวลาเดิน 40 นาที) ท่านจะได้ชมอารามหินที่มีขนาดสูง 47 เมตร กว้าง 48 เมตร ตั้งตระหง่านด้านบนเขา และสามารถมองเห็นหุบเขาที่สวยงามของ Wadi Arabaและช่องเขาพร้อมกับพื้นที่กึ่งแห้งแล้งรอบๆ เพตราได้เวลาพอสมควร เดินทางสู่ ทะเลทรายวาดิรัม (Wadirum) หรือเรียกได้ว่าเป็น หุบเขาแห่งดวงจันทร์ เป็นหุบเขาที่ตัดเป็นหินทรายและหินแกรนิต พร้อมกับฉากทะเลทรายของ Wadi Rum ในLawrence of Arabia จากปีพ. ศ. 2505 เป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจอร์แดน เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของจอร์แดน และดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
      นำท่านนั่งรถตะลุยพาสำรวจและสัมผัสกับทะเลทรายวาดิรัมที่รู้จักกันในชื่อ Valley of the Moon ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia โดยนั่งรถกระบะเปิดหลังคาแบบขับเคลื่อนสี่ล้อบุกเคลื่อนเข้าสู่ทะเลทรายเพื่อท่องเที่ยวไปตามสันทรายสีชมพูที่สวยงามและบันเทิงไปกับความงดงามแปลกตาของธรรมชาติที่จัดสรรไว้เบื้องหน้าอย่างไม่อยากละสายตา พร้อมสนุกสนานตื่นเต้นกับการผจญภัย บนพื้นทะเลทราย นำท่านท่องทะเลทรายไปชมภาพเขียนแกะสลักของชาวนาบาเทียนที่แสดงถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันและรูปภาพสัตว์ต่างๆ ผ่านชมเต้นท์ชาวเบดูอินที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย เลี้ยงแพะเป็นอาชีพ ฯลฯ (กิจกรรมนี้ใช้เวลาในการทำทัวร์ประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมง)     
      จากนั้นนำท่านเช็คอินเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนและเปลี่ยนอิริยาบถ เข้าสู่แค้มป์ที่พัก Mazayen Luxury Camp, Wadirum หรือเทียบเท่า 
       
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ในทะเลทราย เข้าพักผ่อน (คืนนี้อย่าลืมพบกับความสุข นอนนับดาวกลางทะเลทราย ) กับ The Martian Tents 
  • Day 5
    ทะเลทรายวาดิรัม – อควาบา – มาอิน
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในแค้มป์
      นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองอคาบา (Aqaba) เมืองท่าและเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่สำคัญของประเทศจอร์แดนเป็นเมืองแห่งเดียวของประเทศจอร์แดนที่ถูกประกาศให้เป็นเมืองปลอดภาษี มีประชากรอาศัยราว 70,000 คน (ระยะทางจากทะเลทรายวาดิรัมถึงเมืองอคาบา ประมาณ 75 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 20 นาที)
      นำทุกท่านลงเรือ ล่องลงในทะเลแดงที่มีน่านน้ำครอบคลุมถึง 4 ประเทศ คือ จอร์แดน อิสราเอล อียิปต์ และซาอุดิอาระเบีย ชมบรรยากาศของท้องทะเลโดยรอบและความใสของน้ำทะเล ปะการัง ปลาทะเลหลากชนิด เม่นทะเล แมงกะพรุน ฯลฯ เป็นต้น ในแง่ประวัติศาสตร์ ทะเลแดงได้มีการกล่าวขานในพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ว่าทะเลแห่งนี้เป็นสถานที่โมเสสได้ทำอัศจรรย์โดยการชูไม้เท้าแหวก ทะเลแดงนี้เป็นทางเดินพาชาวอิสราเอลหนีให้รอดพ้นจากการตามล่าของทหารอียิปต์เพื่อจับไปเป็นทาสอียิปต์และจุดมุ่งหมายเพื่อเดินทางไปสู่แผ่นดินแห่งพันธุ์สัญญาที่พระเป็นเจ้าทรงมอบให้กับชาวอิสราเอล คือ กรุงเยรูซาเลมในปัจจุบัน (ระยะเวลาในการล่องเรือ 1.5 ชั่วโมง)

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน                   
      บ่าย เดินทางสู่ น้ำพุร้อนมาอิน (Ma'in Hot Springs) ระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง 30 นาที มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยโรมันที่ทหารชาวโรมันได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ และได้ใช้น้ำแร่ที่นี่ในการรักษาอาการอาการบาดเจ็บต่างๆ เช่น โรคผิวหนัง ระบบไหลเวียนโลหิต อาการปวดกระดูก ข้อ หลัง และกล้ามเนื้อ และน้ำพุร้อนมาอินได้รับการจัดอันดับโดย Vogue Australia ให้เป็นหนึ่งใน 23 สระน้ำและน้ำพุธรรมชาติที่สวยที่สุดในโลก ในปีค.ศ.2019 

      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Ma’in Hot Springs Hotel 5*, Ma’in หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    มาอิน – มาดาบา – เม้าท์ เนโบ – เดดซี
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ เมืองมาดาบา (Madaba) ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปจากเดดซีประมาณ 35 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที
      มาดาบา หรือ เมืองแห่งโมเสก นำท่านชม โบสถ์กรีก-ออโธดอกซ์แห่งเซนต์จอร์จ ถูกสร้างในราวปี ค.ศ. 600 ยุคของไบแซนไทน์ และพาชม ภาพแผนที่ดินแดนศักดิสิทธิ์แห่งเยรูซาเลม ตกแต่งโดยโมเสกสีต่างๆ ประมาณ 2.3 ล้านชิ้นที่แสดงถึงพื้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในแถบรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เยรูซาเลม แม่น้ำจอร์แดน ทะเลเดดซี เขาซีนาย อียิปต์ ฯลฯ แล้วเดินทางต่อเพื่อชม เม้าท์ เนโบ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนเขาซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นบริเวณที่เสียชีวิตและฝังศพของโมเสส ผู้นำชาวยิวเดินทางจากประเทศอิยิปต์มายังเยรูซาเล็ม
      นำชม โบสถ์แห่งเม้าท์ เนโบ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวปีค.ศ. 300-400 ในช่วงยุคไบแซนไทน์ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงโมเสส  ภายในโบสถ์ประกอบไปด้วยภาพโมเสกสีบนพื้นโบสถ์อันล้ำค่า แสดงถึงภาพชีวิตสัมพันธ์ระหว่างคน สัตว์ และธรรมชาติ รูปคน ฯลฯ และยังมีแท่นพิธี ม้านั่ง ตามรูปแบบของศาสนาคริสต์ไว้ประกอบพิธีต่างๆ และอนุญาตให้ใช้ในปัจจุบัน รูปภาพและรายละเอียดต่างๆ แสดงถึงการบูรณะโบสถ์ บ่อศีลจุ่ม ฯลฯ ในปีค.ศ. 2000  โป๊ป จอห์น ปอลที่ 2 เสด็จมาแสวงบุญที่นี่และได้ประกาศให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์  
      นำชม อนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธ์แห่งโมเสส ออกแบบเป็นลักษณะเป็นไม้เท้าในรูปแบบไม้กางเขน โดยอุทิศเป็นสัญลักษณ์ของโมเสสและพระเยซู เชิญถ่ายรูป ณ จุดชมวิว โดยในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ท่านสามารถมองเห็น แม่น้ำจอร์แดน ทะเลเดดซี เมืองเบธเลเฮม และประเทศอิสราเอลได้จากจุดนี้อย่างชัดเจน

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      ออกเดินทางไปยังทะเลเดดซี (ระยะทางจากเม้าท์ เนโบถึงโรงแรมบริเวณเดดซีประมาณ 29 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 35 นาที) เดินทางสู่ ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) หรือทะเลมรณะ ตั้งอยู่ตรงบริเวณเขตแดนประเทศจอร์แดนและอิสราเอล เป็นทะเลไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงมากกว่าน้ำทะเลธรรมดาถึง 10 เท่าและอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเกือบ 400 เมตร ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในโลก ทะเลเดดซีอยู่ในเขตทะเลทราย น้ำเค็ม ฝนตกน้อยและไม่สม่ำเสมอ ปีหนึ่งราว 65 มิลลิเมตร อีกทั้งทะเลสาบนี้ไม่มีทางออกสู่ทะเลแห่งอื่นเลย มีเพียงแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลลงสู่ทะเลเดดซีเท่านั้น เชิญท่านทดสอบกับความอัศจรรย์ที่มนุษย์สามารถลอยตัวในน้ำทะเลได้โดยไม่จม แถมสูดอากาศบริสุทธิ์เพราะมีออกซิเจนมากกว่าปกติถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ท่านจะสนุกสนานเพลิดเพลินกับการลงเล่นน้ำในทะเล หรือเลือกซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อต่างๆที่ผลิตจากทะเลเดดซีตามอัธยาศัย 
      *** โรงแรมที่เลือกใช้นั้นมีชายหาดส่วนตัวสามารถเดินลงหาดได้เลย การลงไปแช่น้ำในทะเลเดดซีซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ทำให้สุขภาพผิวดีและอ่อนนุ่ม อีกทั้งช่วยรักษาโรคผิวหนังได้เป็นอย่างดี 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ 
      เข้าสู่โรงแรมที่พัก Dead Sea Crwone Plaza 5*, Dead Sea หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    เดดซี – อัมมาน
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ กรุงอัมมาน (Amman) ระยะทางประมาณ 61 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 10 นาที นำท่านเที่ยวชมภายในเมืองหลวง “อัมมาน” นครเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ เดิมทีเรียกว่า Rabbath Ammon คำว่า Rabbath แปลว่า เมืองหลวง จึงมีความหมายว่าเป็นเมืองหลวงของชาวอัมมันไนท์ (Ammonites) แต่เมื่อครั้งที่ถูกปกครองโดยกษัตริย์ปโตเลมีแห่งมาซิโดเนียยุคโรมัน เมืองนี้ถูกเรียกว่า ฟิลาเดเฟีย (Philadephia) ในกาลต่อมาผ่านยุคผ่านสมัยของผู้ปกครองต่างๆ  ในที่สุดชื่อของเมืองนี้ก็ถูกเรียกว่า Amman จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเมืองนี้ได้ถูกบันทึกในคัมภีร์ไบเบิ้ลของชาวฮีบรูเช่นกัน เนื่องด้วยอัมมานเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ในปัจจุบันอัมมานกลับเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและมีความหลากหลายในเชิงวัฒนธรรมพร้อมมีความเป็นสากลทันสมัยอยู่แบบไม่ขาดตกบกพร่อง อัมมานมีการผสมผสานกันระหว่างความเก่าและใหม่ เป็นอีกหนึ่งเมืองในตะวันออกกลางที่โดดเด่นน่าสำรวจและเชิญมาค้นพบความน่าทึ่งด้วยตัวท่านเองได้จากสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอยู่ทั่วเมือง อันได้แก่
      • โรมัน ฟอรั่ม (Roman Forum) เป็นจัตุรัสสาธารณะในพื้นที่ 50×100 เมตร ซึ่งคาดว่าในอดีตมีการตั้งตลาดในบริเวณนี้ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงละครเล็ก (Odeon) และ โรงละครอัมมาน (Roman Theatre) โดยมีแนวเสาระเบียงแบบโรมันตั้งเรียงรายขนาบข้างอยู่อย่างสวยงาม 
      • โรงละครอัมมาน (Roman Theatre) เป็นโรงละครขนาดใหญ่ 6,000 ที่นั่ง สร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 169-177 โรงละครแห่งนี้ดูใหญ่อลังการน่าทึ่งโดดเด่นเรื่องการวางแผนด้านวิศวกรรมโยธาที่ชาญฉลาดและมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของโรมันทำการออกแบบโครงสร้างเพื่อเอื้อให้ระบบกระจายเสียงกลางแจ้งนั้นมีคุณภาพเสียงดีเยี่ยม โดยการสร้างโรงละครให้มีความลาดเอียงลึกลงไปถึงเวทีนั่นเอง ส่วนที่นั่งภายในโรงละครนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามแนวนอน จุดที่อยู่สูงที่สุดของโรงละครเป็นที่รู้จักในชื่อของ "The Gods" เพราะด้านหลังที่นั่งเหล่านั้นจะมีศาลขนาดเล็กตั้งอยู่ เชื่อว่าสร้างเพื่อเป็นเกียรติให้กับเทพีอาเธน่า 
      ส่วนด้านล่างของโรงละคร ยังมีห้องจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ 2 แห่ง คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้าน (Folklore Museum) ซึ่งแสดงเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมตั้งแต่ยุคเบดูอิน และพิพิธภัณฑ์ประเพณีนิยมของจอร์แดน (Museum of Popular traditions) ซึ่งแสดงเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนแถบนี้ที่มีมาแต่โบราณ โรงละครโรมันได้รับการบูรณะและปัจจุบันนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่แห่งความบันเทิงและการพบปะสังสรรค์ 
      • โรงละครเล็ก (Odeon) เป็นโรงละครขนาดเล็กที่จุผู้ชม 500 ที่นั่ง สร้างขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับโรงละครอัมมาน แต่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าน่าจะใช้เป็นโรงละครในที่ร่มมากกว่า เพราะพบว่าเคยมีโครงหลังคาด้วยทำไม้เพื่อป้องกันปัญหาสภาพอากาศให้แก่ผู้ชม 
      • ป้อมปราการแห่งกรุงอัมมาน (Amman Citadel) สถานที่แห่งนี้เป็นกลุ่มโบราณสถานของหลายยุคสมัยที่เป็นซากปรักหักพังที่มีอายุย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่พวกอัมมันไนท์ โรมัน ไบเซนไทน์ จนกระทั่งถึงยุคอุมัยยะฮ์  ซากปรักหักพังเหล่านี้เผยให้เห็นอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมที่มีมาในอดีตบนยอดเนินเขาสูงสุดในกรุงอัมมานณ ระดับความสูง 850 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และถือว่าเป็นจุดชมวิวเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่ง อันได้แก่ โบราณสถานแห่งแรกคือ วิหารเฮอร์คิวลีส (Temple of Hercules) ที่สร้างขึ้นระหว่างช่วงปีค.ศ.162-166 วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าวิหารที่อยู่ในโรมโบราณเสียอีก สร้างเพื่ออุทิศแด่ฮีโร่ผู้ทรงพลัง ซึ่งในปัจจุบัน โบราณสถานแห่งนี้รู้จักกันในนาม The Great Temple of Amman ใกล้กันนั้นมีมือรูปกำปั้นขนาดใหญ่ทำจากหินอ่อนสีขาวดูสีซีด ว่ากันว่าเป็นเศษที่หลงเหลือจากรูปปั้นขนาดใหญ่ของเฮอร์คิวลีส
      พิพิธภัณฑ์โบราณสถานแห่งชาติ (National Archaeological Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ รวมถึงม้วนหนังสือสมัยโบราณ (Dead Sea Scrolls) ทั้งยังมีกะโหลกศีรษะยุคสำริดที่แสดงการเจาะกะโหลกรักษาโรคในสมองในทำนองเดียวกับการรักษาโรคของศัลยแพทย์ด้านประสาทในยุคปัจจุบัน และรูปปั้น Ain Ghazal เป็นประติมากรรมในช่วงแรกสุดเท่าที่เคยได้ค้นพบมา 
      โบสถ์คริสต์ยุคไบเซนไทน์ (Byzentine Basilica) เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 โดยจักรพรรดิแห่งไบเซนไทน์ แต่ปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานรากและแนวเสาระเบียงหัวเสาแบบคอรินเทียนเพียงบางส่วน จากจุดนี้จะสังเกตได้ว่าประตูทางเข้าของโบสถ์มักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสมอ และยังพบ งานพื้นโมเสกอันเป็นที่นิยมในยุคนั้นได้อีกด้วย
      พระราชวังอุมัยยะฮ์ (Umayyad Palace) เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 8 เป็นอาคารที่ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดีที่สุด และถือเป็นอาคารที่มีความสวยงามและน่าประทับใจมากที่สุดเช่นกัน อาคารห้องโถงรูปทรงโดมขนาดใหญ่ คือ Audience hall  เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาคารในพระราชวังอุมัยยะฮ์ ภายในอาคารอันหรูหราใหญ่โตนี้เป็นบ้านพักอาศัยของผู้ปกครองเมือง เป็นการสร้างทับสิ่งก่อสร้างเดิมยุคไบเซนไทน์  เมื่อมองไปด้านเหนือ จะเห็นธงชาติจอร์แดนขนาดใหญ่โบกสะบัดแต่ไกล ชาวจอร์แดนอวดกันว่าธงนี้เป็นธงที่สูงที่สุดในโลก ส่วนข้างๆ พระราชวังนั้นมี Umayyad Cistern อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้เก็บกักน้ำเพื่อใช้สำหรับบริเวณโดยรอบนี้  สามารถบรรจุน้ำฝนได้ประมาณ 950,000 ลิตร หากเดินลงไปตามบันไดแคบๆ ตามผนังที่เก็บน้ำลงไปยังชั้นล่างสุดแล้วจะรู้ว่าที่นี่มีความลึกแค่ไหน

      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย นำท่านสำรวจตลาดในกรุงอัมมานทั้งตลาดท้องถิ่น หรือห้างสรรพสินค้าเพื่อความบันเทิงในการ
      ช้อปปิ้งเลือกซื้อของฝากอย่างอิสระตามอัธยาศัย
      19.30 น. รับประทานอาหารเย็น มื้ออำลาประเทศจอร์แดน
      22.30 น.    เดินทางสู่สนามบิน เตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ เดินทางกลับสู่ประเทศไทย
  • Day 8
    อัมมาน – กรุงเทพฯ
    • 02.15 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพ ประเทศไทย โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN เที่ยวบินที่ RJ 182  
      (ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง)  (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
      15.15 น.   เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

Top